ประวัติเจ้าอาวาสวัดกลางคลองสี่

พระครูวิเศษธัญญโศภิต
(หลวงปู่ด๊วด)
พระครูวิเศษธัญญโศภิต เดิมชื่อ ด๊วด นามสกุล ลิ้มทองน้อย เกิดวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2427 ที่ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี เป็นบุคคลที่ 6 ของนายลิ้ม นางทองน้อย
เมื่อยังเยาว์ได้ไปอยู่วัดเชิงท่า อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เรียนหนังสืออยู่กับวัดอ่านออกเขียนได้พอสมควร จึงลาออกจากวัด ไปอยู่กินกับบิดามารดา ช่วยประกอบสัมมาอาชีพช่วยทำนาร่วมกับพี่น้อง โดยปกติสุขตลอดมา ครั้นเมื่ออายุได้ 25 ปี ได้ออกบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดออเงิน ตำบลออเงิน อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร ซึ่งมีอธิการนุ่มเป็นอุปัชฌายะ พระครูราชปริต (ลับแล) วัดบวรมงคล เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการญัติอุตตโม วัดสายไหม เป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2450
-
พ.ศ.2451 จำพรรษาเรียนปริยัติธรรมที่วัดสายไหม 1 พรรษา
-
พ.ศ.2452-2453 ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดทอง ร่างกุ้ง ประเทศพม่า รามัญ
-
พ.ศ.2454 กลับมาประเทศไทย จำพรรษาอยู่วัดสนามเหนือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
-
พ.ศ.2455 มาเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางคลองสี่
-
พ.ศ.2473 เป็นอุปัชฌายะ
-
พ.ศ.2480 ได้รับตราตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลลาดสวาย (เป็นเจ้าคณะตำบลมาก่อน)
-
พ.ศ.2481 เป็นองค์การเผยแผ่ประจำอำเภอลำลูกกา
-
พ.ศ.2496 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูวิเศษธัญญโสภิต
-
พ.ศ.2507 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
การปกครอง
-
พ.ศ.2455 ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้วได้เปิดการศึกษาโรงเรียนประชาบาล เมื่อ พ.ศ.2466 ขึ้นที่วัดกลางคลองสี่ เป็นแห่งแรกในอำเภอลำลูกกา
-
พ.ศ.2470 ได้เปิดโรงเรียนนักธรรมขึ้นที่วัดกลางคลองสี่ก่อน ในอำเภอลำลูกกาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีภิกษุและสามเณรทั้งในวัด และนอกวัดมาอาศัยศึกษาเล่าเรียนจนปรากฏว่า มีนักเรียนสอบไล่นักธรรมชั้นตรีในปีแรกส่งเข้าสอบ 5 รูป ได้ทั้งหมด 5 รูป ปีต่อมามีการศึกษามากขึ้นเป็นลำดับ มากบ้าง น้อยบ้าง จนกระทั่งมีนักธรรม ตรี โท เอก เสมอมา ส่วนบาลีท่านได้ส่งภิกษุ สามเณรไปศึกษาในพระนครบ้าง และที่มีการศึกษาบาลีที่ไหน ท่านก็กรุณาส่งไปเรียนจนได้เป็นพระเปรียญก็มีมากรูปด้วยกัน สำหรับภิกษุที่เป็นนักธรรมในสำนักวัดกลางคลองสี่ ท่านก็ได้ส่งออกไปเป็นเจ้าอาวาสในวัดต่าง ๆ มีหลายวัด ศิษยานุศิษย์ของท่านที่ได้รับดำรงตำแหน่งก็มีอยู่
การปฏิสังขรณ์
เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว ได้ปฏิสังขรณ์เสนาสนะ อาทิ เช่น
-
พ.ศ.2461 สร้างหอสวดมนต์ 1 หลัง ราคา 1,300 บาท
-
พ.ศ.2471 สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ราคา 1,300 บาท
-
พ.ศ.2472 สร้างกุฏิ 1 หลัง ราคา 1,300 บาท
-
พ.ศ.2474 สร้างกุฏิ 1 หลัง ราคา 1,250 บาท
-
พ.ศ.2480 สร้างพระอุโบสถ 1 หลัง ราคา 4,000 บาทเศษ
-
พ.ศ.2490 บูรณะศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ ราคา 3,800 บาท
-
พ.ศ.2491 สร้างกุฏิ 1 หลัง ราคา 20,000 บาท
-
พ.ศ.2491 สร้างถังจุน้ำได้ 1,700 ปี๊บ ราคา 4,000 บาท
-
พ.ศ.2492 สร้างกุฏิ 1 หลัง ราคา 24,000 บาท
-
พ.ศ.2501 สร้างกุฏิ 1 หลัง ราคา 40,000 บาท
-
พ.ศ.2501 สร้างศาลาท่าน้ำ 1 หลัง ราคา 10,000 บาท
-
พ.ศ.2502 สร้างศาลาการเปรียญ 1 หลัง ราคา 142,510 บาท
-
พ.ศ.2502 สร้างวิหาร 1 หลัง ราคา 3,000 บาท
-
ตลอดจนได้สร้างถนนคอนกรีต 5 แถว ยาว 5 เส้น 10 วา 1 สาย นอกนั้นยาว 1 เส้นขึ้นไป
การศึกษา
-
พ.ศ.2466 ได้เป็นผู้ดำเนินการเปิดโรงเรียนประชาบาล และโรงเรียนนักธรรมขึ้น เป็นโรงเรียนแรกที่วัดกลางคลองสี่ อำเภอลำลูกกา
-
พ.ศ.2471 เป็นกรรมการควบคุมการสอบธรรมสนามหลวงตลอดเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2507
-
พ.ศ.2473 เป็นกรรมการตรวจข้อสอบนักธรรมตรี
-
นับว่าประวัติการณ์ที่ท่านได้ริเริ่มก่อสร้างเสนาสนะ และเริ่มการศึกษาประชาบาลขึ้นในครั้งนั้น เพื่อความเหมาะสมกับท้องถิ่น ด้วยความอุตสาหะวิริยะ ด้วยดีตลอดมา ควรแก่การเชิดชูบูชาและนับถือเป็นหลักปฏิบัติได้เป็นอย่างดี
งานเผยแผ่
ท่านเป็นนักเผยแผ่ที่ดีมาก กล่าวคือท่านเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัด ต่อพระธรรมวินัย เป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็นมาก เรื่องนี้ท่านผู้ที่เป็นสัทธิวิหาริกอันเตวาสิก ตลอดจนผู้ที่คุ้นเคยกับท่านย่อมทราบได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้การอบรมสั่งสอนเผยแผ่ธรรมของท่านจึงได้ผลดี เป็นที่เชื่อถือของเจ้าคณะผู้บัญชาการ จึงเห็นสมควรแต่งตั้งเป็นองค์การเผยแผ่ของอำเภอลำลูกกา แต่ส่วนมากท่านใช้วิธีการเผยแผ่แบบอุปนิสินกถา (นั่งสนทนาอย่างใกล้ชิด) มากกว่าขึ้นธรรมาสน์เทศน์หรือแบบปาฐกถา โดยปรกติแล้วท่านมีพลานามัยดีตลอดมา แต่ด้วยเหตุความชราภาพของท่านก็มีอันเป็นไป คือ เมื่อปี พ.ศ.2478 ได้อาพาธด้วยโรคไส้ติ่ง ได้ทำการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ก็หายเป็นปรกติ ต่อมาครั้นเมื่อ พ.ศ.2498 ท่านได้เริ่มอาพาธด้วยโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ก็ได้ไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนกระทั่งหายเป็นปรกติตลอดมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2513 ท่านได้อาพาธด้วยโรคลม เมื่อเวลา 17.00 น. ได้มีพระภิกษุสามเณรตลอดจนศิษยานุศิษย์ของพุทธบริษัท วัดกลางคลองสี่ได้มาเฝ้าถวาย พยาบาลดูอาการป่วยของท่านตลอดจนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2513 เลา 06.00 น. เศษ ก็ได้ถวายอาหารต้มแก่ท่าน เมื่อท่านฉันเสร็จก็หลับลงไปบ้างตื่นบ้างด้วยอาการของโรคยังทรงอยู่ ศิษยานุศิษย์ตลอดจนพระภิกษุ สามเณรก็เฝ้าดูอาการตลอดมา ครั้นถึงเวลา 10.30 น. เศษ ได้จัดถวายอาหารเพลแด่ท่านโดยป้อนอาหารให้ท่าน จนกระทั่งเห็นอาการของท่านผิดปรกติ ท่านอาจารย์ทองอินทร์ ซึ่งนั่งปฏิบัติท่านอยู่ ณ ที่นั้น จึงอุทานขึ้นว่า “หลวงปู่เป็นอะไร” ในเมื่อเห็นอาการของท่านคงจะใกล้ดับลง จึงจัดแจงเปลี่ยนสบง จีวร ตลอดจนสังฆาฏิให้ท่านใหม่ พร้อมทั้งได้นำพัดยศที่ท่านได้พระราชทานเป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรของท่าน มาตั้งไว้ต่อหน้าใกล้ท่านได้มองเห็น เมื่อท่านมองเห็น ท่านก็ได้ยกมือประณม แล้วก็เอามือมาประสานกันที่หน้าอกของท่านแล้วเหลียวดู พระภิกษุสามเณร และศิษยานุศิษย์ที่มาพยาบาลอยู่ ณ ที่นั้น แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า “อยู่กันดีดีนะ” แล้วท่านก็เงียบไปด้วยอาการอันสงบในท่ามกลางศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ที่เฝ้าพยาบาลอยู่ ทุกคนก็ได้แต่มองด้วยความรู้สึกเสียดาย และอาลัยอย่างยิ่ง สุดที่จะพรรณนา เมื่อเวลา 11.31 น. เป็นอันสิ้นสุดแห่งชีวิตของท่านครั้งสุดท้ายไม่มีวันที่จะกลับคืนได้อีกแล้ว